บิ๊กโจ๊ก บุก สตช. ยื่นอุทธรณ์ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ปูดทำเป็นขบวนการ จ่อฟ้องกราวรูด

บิ๊กโจ๊ก บุก สตช. ยื่นอุทธรณ์ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ปูดทำเป็นขบวนการ จ่อฟ้องกราวรูด

View icon 18
วันที่ 25 เม.ย. 2567 | 15.43 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
คำสั่งไม่ชอบ บิ๊กโจ๊ก บุก สตช. ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ให้ออกจากราชการไว้ก่อน โชว์แผนผังปูดขบวนการ 4 คูณ 100 ทำให้ถูกเด้ง จ่อฟ้องกราวรูด

วันนี้ (25 เม.ย.67) เมื่อเวลา 12.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ได้เดินทางมายื่นหนังสืออุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หลัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผบ.ตร. มีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยภายหลังยื่นหนังสือว่า วันนี้มาดำเนินการเกี่ยวกับคำสั่งทางปกครอง ที่ให้ตนออกจากข้าราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากคดีอาญาว่าเป็นการออกคำสั่งโดยชอบหรือไม่ หากเห็นว่าเป็นการออกโดยไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า เรื่องทั้งหมดเป็นขบวนการ 4 × 100 สยบปีก "พระพรหม" ทำให้ตนหลุดจากเก้าอี้ ผบ.ตร. โดยมีการแบ่งงานกันทำ คือ ขบวนการที่ 1 ชุดตรวจค้น ตระกูล 4 ต. เข้าตรวจค้น ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ขบวนการที่ 2 พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมาเมฆ ไม่มีอำนาจสอบสวน ต้องส่งสำนวนดีเอสไอ ขบวนการที่ 3 พนักงานสอบสวน สน.เตาปูน รู้ว่าไม่มีอำนาจสอบสวน แต่ไม่ส่งสำนวนให้ดีเอสไอ และป.ป.ช. ภายในกำหนด เพื่อรอเวลาออกหมายเรียก-หมายจับ ขบวนการที่ 4 ชุดรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ตั้งกรรมการสอบสวน และให้ออกจากราชการไว้ก่อน

เมื่อถามว่า ทำไมต้องให้ตนออกจากราชการ 18 เม.ย.แล้วส่งสำนวนให้ ป.ป.ช. 19 เม.ย. เพราะถ้าส่ง ป.ป.ช.ตนจะกลายเป็นผู้ถูกร้อง ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ จะเอาออกจากราชการไม่ได้ จึงให้ออกก่อน แล้วค่อยส่งสำนวนไป ป.ป.ช. แม้จะไม่ส่งภายในกำหนด 30 วัน แต่อย่างน้อยหนักเป็นเบา แต่ท่านคิดผิด เพราะถ้าสอบสวนเลย 30 วัน ถือไม่มีอำนาจสอบสวน และไม่มีอำนาจออกหมายเรียก ออกหมายจับด้วย

ส่วนสาเหตุที่คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนมิชอบ เนื่องจากตนถูกกล่าวหาทำผิดวินัยร้ายแรง จนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน หากยังอยู่ในตำแหน่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรตำรวจ ซึ่งการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว การอ้างแบบนี้ผิดกฎหมาย เพราะตนถูกกล่าวหาตั้งแต่ 2 ธ.ค.66 อยู่สำนักงานตำรวจนาน 3 เดือน ก่อนจะสั่งย้ายให้ไปประจำสำนักนายกฯ 29 วัน โดยไม่มีอำนาจเข้ามายุ่งเหยิงกับคดี หรือเรียกคนทำสำนวนมาพบได้ แต่กลับมีการเข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบ ในช่วงเที่ยง ก่อนจะมีคำสั่งให้ออกจากราชการในช่วงบ่าย ของวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา

ส่วนกรณี "กองวินัย" อ้างการสอบสวนจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็วนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ตำรวจ ปี 2565 กำหนดเวลาไว้ชัดเจนในการพิจารณา ไม่เกิน 150 วัน หากไม่เสร็จให้ผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือไปสั่งลงโทษ ผบ.ตร. และตามมาตรา 120 วรรคสี่ ระบุว่า ระหว่างการสอบสวน จะนำเหตุแห่งการสอบสวนมาเป็นข้ออ้างให้กระทบต่อสิทธิของผู้ถูกสอบสวนไม่ได้ เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการได้ แต่ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งคณะกรรมการฯ ตั้งขึ้นมาวันเดียวกันกับที่ให้ตนออกราชการ

เมื่อไปดูข่าวแจกสื่อมวลชนซึ่งออกมาจากกองสารนิเทศ ระบุคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามความเห็นของฝ่ายกฎหมายและฝ่ายวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยสำนักงานกฎหมายและคดี และกองวินัย ซึ่งเป็นฝ่ายอำนวยการของ ผบ.ตร. ได้เสนอเรื่องมายัง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พิจารณาตามข้อกฎหมาย ถามว่า สำนักงานกฎหมายและคดี และกองวินัย เป็นคณะกรรมการสอบสวนหรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีการปรับเกลี่ยหน้างาน รอง ผบ.ตร. ใหม่ ลงวันที่ 17 เม.ย. แต่ตนถูกให้ออก 18 เม.ย. จึงเชื่อว่าน่าจะมีการตระเตรียมกันทำไว้เป็นขบวนการ ซึ่งตนจะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตั้งแต่ผอ.สำนักคดี

“อย่าลืมว่าการเอาตำรวจออก 1 คนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่นี่มันรีบไง รีบเพราะอยากเป็น อยากเป็นมากเลยเหรอ ผบ.ตร. ตระเตรียมการไว้หมด ทำเรื่องไปหลอกนายกฯ ท่านก็ไม่ทราบ นึกว่าจะเอาผมกลับไปทำงานให้แผ่นดิน ก็ส่งกลับ พอส่งกลับให้ออกเลย”

นอกจากนี้  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  ได้กล่าวถึงการปลดป้ายชื่อหน้าห้องทำงาน และระเบียนผู้บังคับบัญชา เป็นการทำให้ตนเองเสื่อมเสีย เพราะตอนนี้ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง ตนยังเป็นรองผบ.ตร. จะมาปลดป้ายหน้าสำนักงาน ถอดชื่อจากเว็บไซต์ได้อย่างไร กระเหี้ยนกระหือรือ อยากเป็นมากเหรอ ผบ.ตร. ดังนั้น ตนจะยื่นฟ้องดำเนินคดีทั้งหมด "ต้องบอกว่ามวยคนละชั้น เจอมาเยอะแบบไม่ได้แอ้มผมหรอก คุกแน่นอน"

ข่าวที่เกี่ยวข้อง