อดีตทหารวัย 73 ปี โดนสาวหลอก สารพัดข้ออ้างในการหลอกยืมเงิน สูญเงินกว่าครึ่งล้าน

อดีตทหารวัย 73 ปี โดนสาวหลอก สารพัดข้ออ้างในการหลอกยืมเงิน สูญเงินกว่าครึ่งล้าน

View icon 123
วันที่ 19 มิ.ย. 2567 | 15.23 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
อดีตทหารวัย 73 ปี โดนสาวหลอก สารพัดข้ออ้างในการหลอกยืมเงิน ทั้งหลอกซื้อห้องเช่า และปลอมโฉนดที่ดิน สุดท้าย สูญเงินกว่าครึ่งล้าน 

วันที่ 19 มิ.ย.67 เวลา 13.00 น.ที่ สภ.ปลายบาง ต.ปลายบาง อ.ปลายบาง จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จาก ส.ต.บุญธรรม อายุ 73 ปี (อดีตข้าราชการทหาร) จากกรณีเมื่อช่วงต้นเดือน ม ค.2564 ได้ถูก น.ส.แอม อายุ 39 ปี หลอกขายห้องเช่าขนาด 6×6 เมตร ในราคา 100,000 บาท ในพื้นที่ของ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ โดย น.ส.แอม ได้มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อให้กับผู้เสียหายหลายฉบับและได้มีการโอนเงินจำนวน 30,000 บาท หลายครั้งโดย น.ส.แอม อ้างว่า เจ้าของห้องดังกล่าวต้องการใช้เงินด่วนให้ทยอยโอนไปจนกว่าจะครบ ทางผู้เสียหายโอนเงินไปแล้ว 98,500 บาท จึงมารู้ความจริงว่าโดนหลอก เพราะพอถึงวันโอนกลับไม่สามารถห้องเช่าเป็นชื่อตนได้

ต่อมาเมื่อช่วงเดือน ก.พ.66 น.ส.แอม ได้โทรมาหาผู้เสียหาย และขอเงินจำนวน 12,000 บาท เพื่อจะไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล และช่วงเดือน มี.ค.2566 น.ส.แอม ก็ได้ติดต่อมาเพื่อขอยืมเงินอีกรวมจำนวน 345,000 บาท และบอกว่าถ้าขายที่ได้จะนำเงินมาคืนให้ โดยมีการนำโฉนดที่ดินที่อ้างว่าเป็นของตนเองมาให้ดูภายหลังทราบว่าโฉนดดังกล่าวเป็นโฉนดที่ น.ส.แอม ปลอมขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 23 มี.ค.66 น.ส.แอม ก็ได้มีการมาขอยืมเงินอีก 28,000 บาท โดยอ้างว่าจะนำเงินไปใช้หนี้หมอ ซึ่งตอนนั้นผู้เสียหายไม่รู้ว่าหนี้อะไร วันที่ 20 มิ.ย.66 ก็มาขอยืมเงินอีก 12,000 บาท อ้างว่าหกล้มหัวกระแทกจะต้องไปสแกนสมองที่โรงพยาบาลและจะต้องไปรักษาโดยการฉายแสงที่โรงพยาบาล ต่อมาวันที่ 4 พ.ค.66 น.ส.แอม ได้โทรมาหาผู้เสียบอกว่าได้ไปเปิดร้านขายของที่งานเกษตรแฟร์และได้มีเรื่องทะเลาะกันและรถของคู่กรณีเสียหายจะต้องจ่ายค่าเสียหายอีก 50,000 บาท และ น.ส.แอมยังมีการขอยืมเงินอีก 45,000 บาท เพื่อให้ทางแฟนหนุ่มไปจ่ายค่างวดรถที่ค้าง และยังมีการขอยืมอีกหลายครั้ง รวมแล้วเสียเงินกว่า 500,000 บาท เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน 3 ปี แล้วคดียังไม่มีความคืบหน้า ทุกวันนี้ต้องใช้เงินจากเงินเดือนผู้สูงอายุ

ส.ต.บุญธรรม เล่าว่า ตนได้รู้จักกับ น.ส.แอม ผ่านอดีตผู้ใหญ่บ้านที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อช่วงปลายปี 2563 และได้มีการติดต่อพูดคุยกันและตัดสินใจคบหากัน จนกระทั่งเมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ. 64 น.ส.แอม ได้มาบอกตนว่าเจ้าของห้องเช่าในจังหวัดเพชรบูรณ์เขาต้องการจะขายห้องเช่าราคาถูก ซึ่งบริเวณนี้หาราคาถูกแบบนี้ไม่ได้แล้ว จึงได้มาบอกตนและตัดสินใจซื้อในราคา 100,000 บาท โดย น.ส.แอม ให้ตนโอนเงินผ่านบัญชีของ น.ส.แอม ครั้งละ 2,000-3,000 บาท หลายครั้ง อ้างว่าทางเจ้าของห้องเช่าดังกล่าวต้งการใช้เงินด่วน ต่อมา น.ส.แอมได้นำหนังสือสัญญาเช่าซื้อมาให้ตนเซนต์ และจ่ายเงินอีก 30,000 บาท โดย น.ส.แอม ทำสัญญามาหลายฉบับ ตนจ่ายเงินเพื่อที่จะซื้อห้องเช่าดังกล่าวไปแล้ว 98,500 บาท จึงมาทราบความจริงว่าถูก น.ส.แอมหลอก เพราะว่าหลานของตนได้ไปดูที่ห้องเช่าดังกล่าวและสอบถามกับเจ้าของโดยตรงปรากฏว่าเจ้าของห้องเช่าดังกล่าวไม่ได้จะขายอย่างที่ น.ส.แอม บอกตนจึงได้ถามว่าทำไมมาหลอกตนแบบนี้ ทาง น.ส.แอมตอบว่า ถ้าขอเงินตรงๆ ตนก็คงไม่ให้เลยต้องอ้างเรื่องซื้อห้องเช่าแบบนี้ หลังจากนั้นตนก็เลิกติดต่อกันไปและมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปลายบาง ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.64 แต่ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย

ต่อมาเมื่อเดือน ก.พ. 65 น.ส.แอม ก็ได้ติดต่อมาหาตนและบอกว่าท้องและจะขอเงิน 12,000 บาทเพื่อเป็นค่าคลอด ด้วยความสงสารตนจึงให้ไป หลังจากนั้น น.ส.แอม ก็ติดต่อตนมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะขอยืมเงิน และโกหกว่าป่วยต้องใช้เงินรักษาตัวและมาขอยืมเงินอีกหลายหมื่นบาท แต่ช่วง เดือน มี.ค.66 น.ส.แอม ได้มาขอยืมเงินตน 300,000 บาท และบอกว่าหากขายที่ดินได้จะนำเงินมาคืน พร้อมกับให้ดูโฉนดที่ดินที่ไปคัดมาให้ตนดู และบอกว่าจะขายที่ดินแปลงนี้ราคา 450,000 บาท และจะใช้หนี้ตน 300,000 บาท ทันที ตนจึงยอมให้ยืมไปโดยใช้เงินเก็บทั้งหมดที่อยู่ในบัญชีธนาคารของตน และยังนำสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท ไปจำนำเพื่อนำเงินไปให้ น.ส.แอม ต่อมาตนมาทราบความจริงว่าโฉนดที่ดินดังกล่าว น.ส.แอม ปลอมขึ้นมา เพราะหลานของตนไปตรวจสอบกับสำนักงานที่ดินมาแล้วพบว่าโฉนดดังกล่าว เจ้าของเป็นชื่อแม่ของ น.ส.แอม หนำซ้ำยังถูกนำไปจำนองไว้กับหมอคนนึงที่ น.ส.แอม นำมาอ้างกับตนว่าจะไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลในตอนแรก  ต่อมาตนได้ติดต่อไปยังคุณหมอคนดังกล่าว ก็ทราบว่าแม่ของ น.ส.แอม นำโฉนดที่ดินดังกล่าวมาจำนองไว้กับหมอนานแล้ว และทางครอบครัวของหมอก็เคยช่วยเหลือ น.ส.แอมมาแล้วหลายครั้ง จนไม่อยากจะช่วยเหลืออะไรแล้ว พอตนทราบเรื่องก็ได้ติดต่อกับ น.ส.แอม เพื่อสอบถามเรื่องราวและขอเงินคืน แต่ น.ส.แอม ไม่ยอมคืนเงินให้ ตนจึงได้ตกลงทำสัญญาให้คืนเงินเดือนละ 5,000 บาท แต่ตั้งแต่ทำสัญญา ตนไม่เคยได้รับเงินคืนเลยซักบาท ทุกวันนี้เงินเก็บไม่เหลือซักบาทตอนนี้ตนใช้เงินจากเบี้ยผู้สูงอายุเท่านั้น แต่มีลูกสาวก็คอยให้เงินอยู่เวลาไม่พอใช้ ต่อมาจึงได้ตัดสินใจมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่ สภ.ปลายบาง ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.67 จนกระทั่งตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกสอบปากคำไปแค่ 2 ครั้ง และไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยโทรหาร้อยเวรก็ไม่รับสาย จนต้องเดินทางมาสอบถามความคืบหน้าด้วยตัวเองในวันนี้

พ.ต.ท.เฉลียว แดงยิ้ม รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ปลายบาง ได้เปิดเผยข้อมูลว่า กรณีนี้ทางร้อยเวรเคยเรียกผู้เสียหายมาสอบปากคำไปแล้ว 2-3 ครั้ง และได้ให้คำปรึกษาในด้านกฏหมายไปแล้ว แต่ข้อมูลรายละเอียดขอปิดเป็นความลับเพราะเกี่ยวข้องกับข้อกฏหมายและผู้เสียหายโดยตรง ในส่วนนี้คาดว่าอาจจะเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดทำให้ทางผู้เสียหายคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดำเนินการอะไร ในวันนี้ทางผู้เสียหายได้เดินทางเข้ามาสอบถามความคืบหน้าตนจึงได้ช่วยอธิบายในเรื่องของข้อกฏหมายต่างๆ และรับปากว่าจะช่วยเหลือเต็มที่ หลังจากนี้จะเรียกทางฝั่งคู่กรณีให้เข้ามาเจรจากันก่อนและหากทางผู้เสียหายต้องการเข้าสู่ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตนก็จะช่วยประสานเจ้าหน้าที่ยุติธรรมจังหวัดเพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฏหมายต่อไป.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง