จำคุก 18 ปี 24 เดือน อดีต ผอ.-รอง ผอ. โรงเรียนดัง เซ่มปมเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะเข้ากระเป๋าตัวเอง

จำคุก 18 ปี 24 เดือน อดีต ผอ.-รอง ผอ. โรงเรียนดัง เซ่มปมเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะเข้ากระเป๋าตัวเอง

View icon 101
วันที่ 24 เม.ย. 2567 | 17.33 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
คุกอ่วม ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง สั่งจำคุก 18 ปี 24 เดือน อดีต ผอ.-รอง ผอ. สามเสนวิทยาลัย เบียดบังเงินแป๊ะเจี๊ยะเข้ากระเป๋าตัวเอง พร้อมให้ชำระเงิน 7 แสนบาท ตกเป็นของแผ่นดิน

วันนี้ (24 เม.ย.67) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ถนนเลียบรางรถไฟ ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ฟ้อง นายนายวิโรฒ กับพวกรวม 3 คน เป็นจำเลย กรณีร่วมกันกระทำความผิดด้วยการเรียกรับเงินบริจาคจากผู้ปกครองนักเรียน โดยไม่นำเข้าระบบการเงิน เพื่อเป็นรายได้ของโรงเรียน และร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคไปโดยทุจริต

คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามว่า ในระหว่างเดือน ม.ค.-มิ.ย.2560 จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมศึกษาสามเสนวิทยาลัย และจำเลยที่ 2 รองผอ.โรงเรียนฯ ร่วมกันกระทำความผิดด้วยการเรียกรับเงินบริจาคจากผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 6 ราย โดยไม่นำเข้าระบบการเงิน เพื่อเป็นรายได้ของโรงเรียน โดยร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคไป เป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริต และยังร่วมกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนฯ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจ หรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่การเงินเเละบัญชีของโรงเรียน กรอกข้อความลงในเอกสารใบเสร็จรับเงิน ซึ่งไม่ตรงต่อความจริง อันเป็นการกระทำโดยทุจริตต่อหน้าที่

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในความผิดฐานร่วมกันเบียดบังเงินบริจาคนั้น โจทก์มีผู้ปกครอง 6 ราย ให้การยืนยันว่า จำเลยที่ 1,2 ร่วมกันรับเงินบริจาคที่ประสงค์จะมอบให้โรงเรียนมัธยมศึกษาสามเสนวิทยาลัย เพื่อให้บุตรหลานของตนได้รับการพิจารณาให้เข้าศึกษาในโรงเรียน ประเภทเงื่อนไขพิเศษ แต่กลับไม่มีการออกใบเสร็จรับเงินให้ ซึ่งจำนวนเงินที่ผู้ปกครองกล่าวอ้างนั้นก็สอดคล้องกับหลักฐานการถอนเงินจากธนาคาร และต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1,2 มาก่อน ส่วนที่จำเลยที่ 1,2 นำสืบว่า เงินที่ได้รับมานั้น ได้นำไปมอบให้คณะกรรมการภาคีเครือข่ายการรับนักเรียน และการระดมทรัพยากรเพื่อมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาที่จำเลยที่ 2 แต่งตั้งขึ้น แต่การตั้งคณะกรรมการภาคีเครือข่ายดังกล่าว ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งไม่เป็นไปตามแนวทางในการปฏิบัติการระดมทรัพยากรของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐาน

อีกทั้งการรับมอบเงินโดยคณะกรรมการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ.2551 และระเบียบสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยการบริหารจัดเก็บเงินรายได้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เป็นนิติบุคคลในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. 2551 แต่คณะกรรมการดังกล่าวกลับทำผิดระเบียบทั้งหมด เนื่องจากเมื่อรับมอบเงินบริจาคมาก็ไม่มีการออกใบเสร็จรับเงินให้ และไม่นำเงินบริจาคไปเข้าบัญชีเงินฝากของโรงเรียนในทันที แต่นำเงินไปเก็บไว้ในตู้เซฟที่อยู่ในห้องทำงานของจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ใช่ตู้เซฟของทางราซการ และเก็บเงินไว้นานมากกว่า 3 วัน ซึ่งผิดระเบียบ รวมถึงผู้ที่รับเงินบริจาคก็ไม่ใช่กรรมการเก็บรักษาเงินและตรวจนับเงินที่โรงเรียนแต่งตั้งขึ้น เมื่อรับเงินแล้ว ไม่มีการตรวจนับเงินบริจาคในทันที เพื่อนำเข้าระบบบัญชีของโรงเรียน เพื่อลงทะเบียนคุมรายรับเงินได้สถานศึกษา และยังเก็บเงินไว้เป็นจำนวนมากถึงหลักล้าน โดยไม่สามารถตรวจสอบยอดเงินที่แน่นอนได้

ดังนั้น การแต่งตั้งคณะกรรมการภาคีเครือข่ายดังกล่าว จึงเป็นการแต่งตั้งที่ไม่ชอบและไม่มีอำนาจในการระดมทรัพยากรเพื่อเก็บรักษาเงินไว้แทนโรงเรียนได้ และยังพบพิรุธว่า ระหว่างที่มีการเก็บเงินบริจาคไว้นั้น ปรากฎมีคลิปวีดีโอขณะที่มีการส่งมอบเงินบริจาคให้แก่จำเลยที่ 1,2 เผยแพร่ทางสื่อสารมวลชน หลังจากจำเลยที่ 1 แถลงข่าวแล้ว จำเลยทั้งสามจึงรีบตามเจ้าหน้าที่การเงินมาออกใบเสร็จรับเงินย้อนหลังให้ แต่ในใบเสร็จไม่ได้ระบุชื่อผู้บริจาค ไม่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ แล้วรีบนำเงินบริจาคเข้าบัญชีเงินฝากของโรงเรียน เป็นการกระทำเพื่อปกปิดความผิดของตน ทั้งที่ความผิดสำเร็จลงแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1,2 จึงไม่อาจรับฟังได้

ส่วนความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจหรือจูงใจให้เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีของโรงเรียน กรอกข้อความลงในเอกสารใบเสร็จรับเงินอันเป็นเท็จ และฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสารอันเป็นเท็จและมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ลงลายมือชื่อในใบเสร็จรับเงิน ไม่มีหน้าที่โดยตรงในการออกใบเสร็จรับเงิน ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมลงลายมือชื่อ และจำเลยที่ 3 ก็ไม่มีหน้าที่โดยตรง และไม่มีหน้าที่โดยทั่วไปเกี่ยวกับการออกใบเสร็จรับเงิน ซึ่งการที่จำเลยทั้งสามร่วมกันให้เจ้าหน้าที่การเงินกรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน มิใช่การมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และการกระทำของจำเลยทั้งสามไม่ได้บังคับข่มขืนใจเจ้าหน้าที่การเงิน เป็นการกระทำโดยสมัครใจเอง การกระทำของจำเลยที่ 1,2 จึงไม่เป็นความผิดตามข้อหาดังกล่าว จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนด้วย

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1,2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1,2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91

จำคุกจำเลยที่ 1,2 กระทงละ 5 ปี รวม 6 กระทง เป็นจำคุกคนละ 30 ปี ทางนำสืบและคำรับของจำเลยที่ 1,2 เป็นประโยชน์แก่ การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1,2 กระทงละหนึ่งในสาม เป็นจำคุกจำเลยที่ 1,2 กระทงละ 3 ปี 4เดือน รวม 6 กระทง คงจำคุกคนละ 18 ปี 24 เดือน และให้จำเลยที่ 1,2 ร่วมกันชำระเงิน หรือแทนกันชำระเงิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นเงิน 7 เเสนบาท โดยให้ริบเงินจำนวนดังกล่าวให้ตกเป็นของแผ่นดิน ยกฟ้องจำเลยที่ 3ข้อหาอื่นและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

ภายหลังฟังคำพิพากษา จำเลย 1,2 ยื่นคำร้องขอประกันตัว ซึ่งศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลาง ส่งให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณา จำนวน 7 นัด รวมระยะเวลานับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 มิ.ย.66) ถึงวันอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 10 เดือน 18 วัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง